ช่วยเเชร์ จ้า .....

 

นายแพทย์ปิยะ ศิริลักษณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิดอย่างมาก โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย จึงขอให้ระมัดระวังความสะอาดของอาหารและน้ำดื่มเป็นพิเศษ และยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่ายๆ ได้แก่ “กินร้อน  ใช้ช้อนกลาง ล้างมือ”  “กินร้อน” คือ กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หากยังไม่กิน ต้องเก็บในตู้เย็น หรือนำมาอุ่นให้ร้อนอีกครั้งก่อนรับประทาน  “ใช้ช้อนกลาง” ทุกครั้งในการรับประทานอาหารร่วมกัน  “ล้างมือ” ควรล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม นอกจากนี้แล้วเราควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง  ควรดื่มน้ำบ่อยๆและสะอาดเพื่อป้องกันการขาดน้ำของร่างกายในช่วงที่อากาศร้อน  และที่สำคัญควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

สำหรับโรคติดต่อที่มักพบบ่อยในช่วงฤดูร้อนมีอยู่ 6 โรค ที่ทางกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำ  ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง  โรคบิด  โรคอาหารเป็นพิษ  อหิวาตกโรค  ไข้ไทยฟอยด์ และโรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ

  1. โรคอุจจาระร่วง เกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่เชื้อมีปนเปื้อน เช่น อาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม หรืออาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านาน ๆ อาการส่วนใหญ่ของผู้ป่วย มักถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำหรือมีมูกเลือดปน ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งการดูแลผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงในระยะแรก ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารเหลวมาก ๆ อาทิ น้ำข้าว น้ำแกงจืด และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และถ้าอาการไม่ดีขึ้น ยังไม่หยุดถ่ายเหลว ให้รีบไปพบแพทย์

สำหรับสถานการณ์ของจังหวัดพิษณุโลกในปีนี้ พบผู้ป่วยไปแล้วในทุกอำเภอ รวม 3,137 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 358.43 ต่อแสนประชากร  โดยอำเภอที่พบผู้ป่วยมากสุด 3 อำเภอแรกได้แก่ อำเภอเมือง (862 ราย) วังทอง (444 ราย) และอำเภอบางระกำ (389 ราย)

  1. โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคทางเดินอาหารที่พบบ่อยมาก เนื่องจากสารพิษ (Toxin) จากแบคทีเรียตกค้างอยู่ในอาหารที่ไม่สะอาดพอ สุก ๆ ดิบ ๆ หรือบูดเสียเพราะทิ้งไว้ข้ามคืน และสารพิษบางชนิดที่ตกค้างอยู่ในอาหารหรือน้ำ มีความทนทานต่อความร้อนเมื่อน้ำมาอุ่นยังอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียนได้ เช่น ข้าวผัด หลังผัดทิ้งไว้ค้างคืนโดยไม่ได้ใส่ตู้เย็นที่อุณหภูมิเหมาะสมแล้วนำมาอุ่น เชื้อจุลชีพที่เจริญในระหว่างนี้อาจปล่อยสารพิษไว้ เมื่อนำไปอุ่นความร้อนสามารถทำลายเชื้อจุลชีพได้แต่ไม่สามารถทำลายสารพิษที่ตกค้างได้ ดังนั้นนอกจากต้องใส่ใจกับความสุก ความสะอาดของอาหาร และสุขอนามัยของผู้ปรุงอาหารหรือบริการแล้ว ขั้นตอนในการเก็บรักษาอาหารเพื่อนำมาบริโภคซ้ำก็มีความสำคัญเช่นกัน สำหรับการรักษาส่วนใหญ่หากเป็นไม่มาก จะถ่ายเป็นน้ำไม่มีมูกเลือด  ไม่มีไข้ หายได้เอง แต่ถ้าเป็นมากต้องได้รับน้ำเกลือเสริม อาจอยู่ในรูปแบบของการดื่ม หรือการให้ทางเส้นเลือดแล้วแต่ความรุนแรง        สำหรับสถานการณ์ของจังหวัดพิษณุโลกพบผู้ป่วยปีนี้แล้วจำนวน 589 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 67.30 ต่อแสนประชากร ซึ่งมีการเกิดของโรคใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา   โดยอำเภอที่พบผู้ป่วยมากสุด 3 อำเภอแรกได้แก่ อำเภอเมือง (211 ราย), อำเภอบางระกำ (110 ราย) และอำเภอพรหมพิราม (70 ราย)

3.โรคบิด เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทาน เช่น การรับประทานอาหาร น้ำ ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค อาหาร  ดิบ ๆ สุก ๆ หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม ดังนั้นไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ เพศไหน วัยใดก็สามารถเป็น โรคบิด ได้ทั้งนั้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดบิดในท้อง ต่อมาจะเริ่มไข้ขึ้น และถ่ายเหลว รวมถึงอาจปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาการท้องเดินเป็นบิด จะหายได้เองภายใน 5-7 วัน ในคนที่ไม่ได้ทานยา แต่บางรายก็อาจมีอาการกลับมาใหม่ได้อีก

โดยจังหวัดพิษณุโลกพบผู้ป่วยปีนี้ไปแล้ว 4 ราย ใน 2 อำเภอ ได้แก่ บางระกำ 3 ราย และวัดโบสถ์ 1 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.46 ต่อแสนประชากร

4.อหิวาตกโรค โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อในบางรายจะไม่มีอาการหรือมีไม่มาก แต่ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง อาจเสียชีวิตได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดอาการ เนื่องจากมีการสูญเสียของน้ำและเกลือแร่ในปริมาณมาก โรคนี้ติดต่อได้โดยการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อเข้าไป การรักษาควรทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป กับการถ่ายอุจจาระและการอาเจียน เช่น ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเกลือ แต่หากรุนแรงต้องให้ทางเส้นเลือด ควบคู่กับการใช้ยาปฏิชีวนะ

สำหรับสถานการณ์ของจังหวัดพิษณุโลก ไม่พบผู้ป่วยในระบบรายงานมาตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2550 ที่ ต.บ้านคลอง อ.เมือง

5.โรคไข้ไทฟอยด์ การติดต่อมักเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อในอาหารหรือน้ำดื่ม ซึ่งไข้ไทฟอยด์จะมีอาการแบบเฉียบพลัน รายที่เป็นรุนแรงอาจเสียชีวิตได้ อาการของโรคจะมีไข้ ปวดเนื้อปวดตัว คลื่นไส้ หัวใจเต้นช้าลง (โดยทั่วไปแล้วเวลามีไข้จะเต้นเร็วขึ้น) หากให้แพทย์ตรวจอาจพบว่าม้ามโต บริเวณใต้ชายโครงด้านซ้าย ต้องใช้การตรวจเลือดยืนยันว่าเป็นโรคนี้จริง ส่วนการป้องกันสามารถทำได้โดยการใช้วัคซีน ซึ่งมีทั้งในรูปของการรับประทานหรือฉีด แต่การป้องกันไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการระมัดระวังเรื่องอาหารและน้ำดื่ม จังหวัดพิษณุโลกยังไม่พบผู้ป่วยในปีนี้

6.โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ  เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า  โดยการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัด  ข่วน หรือเลียบริเวณที่มีแผล รอยข่วน หรือน้ำลายของสัตว์ตระกูลเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้าเข้าตา ปาก จมูก โดยสัตว์ที่นำโรคที่สำคัญที่สุด ได้แก่ สุนัข รองลงมา คือ แมว และอาจพบในสัตว์อื่นๆ เช่นชะนี  ลิง กระรอก กระแต หนู วัว ควาย แพะ แกะ  เมื่อคนได้รับเชื้อแล้ว และไม่ได้รับการป้องกันที่ถูกต้อง ส่วนใหญ่จะมีอาการปรากฏหลังจากการรับเชื้อ 15 -60 วัน หรือบางรายอาจนานเป็นปี ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ขณะนี้ยังไม่มียารักษาได้ ผู้ป่วยต้องเสียชีวิตทุกราย

ฉะนั้นการที่จะป้องกันควรใช้คาถา 5 ย. ในการป้องกัน  คือ  อย่าแหย่  อย่าเหยียบ  อย่าแย่ง  อย่าหยิบ และอย่าแยก  จะได้ปลอดภัยจาก “โรคพิษสุนัขบ้า” และถ้าหากประชาชนถูกสุนัขหรือแมว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด การป้องกันโรคด้วยการไปพบเจ้าหน้าที่ๆโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อการฉีดวัคซีนทันทีหลังได้รับบาดแผลจากสัตว์ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และควรใช้วิธีอื่นๆร่วมด้วย เช่น การเฝ้าระวังอาการในสัตว์  และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้กับสัตว์เลี้ยง

โดยจังหวัดพิษณุโลก ไม่มีรายงานการพบผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้ามามากกว่า 15 ปี โดยผู้ป่วยรายสุดท้ายที่พบอยู่ที่ ต.โคกสลุด  อ.บางกระทุ่ม  จ.พิษณุโลก เมื่อเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2544 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ 055 252052

นอกจากโรคติดต่อทั้ง 6 โรคนี้แล้ว….อีกประการที่ต้องควรระมัดระวัง คือ “โรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรก (Heat Stroke)”  ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด  โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหรืออยู่กลางแดดเป็นเวลานาน  ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์จะสามารถทนความร้อนได้ถึง 40 องศาเซลเซียส ถ้าหากมีอุณหภูมิมากกว่า 40 องศาเซลเซียสก็จะทำให้เกิดอาการเป็นลมแดด ที่มีอาการเบื้องต้นคือ หน้ามืด ปวดศรีษะ ความดันต่ำ ร่างกายจะไม่มีเหงื่อและอุณหภูมิของร่างกายนั้นจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รูขุมขนจะปิดไม่สามารถระบายเหงื่อออกมาได้ หายใจเร็ว ซึ่งอาการเหล่านี้จะมีผลต่อการไหลเวียนของโลหิต อาจทำให้เกิดอาการชัก กระตุก ถึงขั้นหมดสติในที่สุด หากมีอาการเหล่านี้ควรจะหาที่มีอากาศเย็นถ่ายเทสะดวก ดื่มน้ำเย็นเพื่อให้อุณหภูมิในร่างกายเย็นลง หากพบผู้ที่มีอาการโรคฮีทสโตรกควรนำมาหลบในที่ร่มและหาวิธีระบายความร้อนในร่างกายให้เร็วที่สุด เช่น การใช้ผ้าเย็นเช็ดให้ทั่วตัวผู้ป่วยโดยเน้นบริเวณข้อพับ ควรจัดท่าให้ผู้ป่วยยกเท้าขึ้นสูงเพื่อให้เลือดไหลไหลเวียนไปยังหัวใจได้ดีขึ้น หากอาการไม่ดีขึ้นให้นำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว จะมีการช่วยเหลือโดยการกู้ชีพเบื้องต้นและจะลดอุณหภูมิของร่างกายด้วยวิธีทางกายภาพ ทั้งนี้หากรู้ว่าต้องทำกิจกรรมที่มีอากาศร้อนมากๆ ควรเตรียมตัวด้วยการหาเวลาออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมออาทิตย์ละ 3 ครั้งๆ ละ 30 นาที ควรดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนออกไปพบกับอากาศที่ร้อนจัด เพื่อป้องกันโรคฮีทสโตรก

 

2165 เยี่ยมชมหน้านี้ทั้งหมด 2 เยี่ยมชมวันนี้

By Aui

error: สวัสดีค่ะ