เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2560 เวลา 09.00 น. พลโท วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานการประชุมสรุปผลการดำเนินงานโครงการกำจัดพืชเสพติด กองทัพภาคที่ 3 ประจำปี 2560 ณ ห้องประชุม 202 ชั้น 2 สโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
กองทัพภาคที่3และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 อนุมัติให้ โครงการกำจัดพืชเสพติดกองทัพภาคที่ 3 จัดตั้งกองบัญชาการเฉพาะกิจ ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ ๓ และหน่วยเฉพาะกิจกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ณ ค่ายพระปิ่นเกล้า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2559 เพื่อควบคุม อำนวยการ และกำกับดูแลการปฏิบัติงานของหน่วยในโครงการระดับพื้นที่ ซึ่งประกอบด้วยกองพลทหารราบที่ 4, กองพลทหารราบที่ 7, กองพลทหารม้าที่ 1 และ ฝ่ายทหารพรานศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ ๓ ที่ปฏิบัติงานตามแผนการควบคุมพื้นที่ปลูกฝิ่นและการตัดทำลายไร่ฝิ่น ประจำปี 2560โดยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจาก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด( สำนักงาน ป.ป.ส.)
การดำเนินงานตามแผนงาน โครงการกำจัดพืชเสพติด กองทัพภาคที่ 3 เป็นส่วนงานหนึ่งในการ
ป้องกัน การแพร่ระบาดของ ยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศชาติอยู่ในปัจจุบัน โดยได้ดำเนินการควบคุมพื้นที่ปลูกฝิ่นและการตัดทำลายไร่ฝิ่น เพื่อทำให้พื้นที่ ที่มีการลักลอบปลูกฝิ่น และพืชเสพติดชนิดอื่น ๆ ในภาคเหนือ มีปริมาณลดลง และหมดสิ้นไปในที่สุด
การควบคุมพื้นที่ปลูกฝิ่นและการตัดทำลายไร่ฝิ่น ประจำปี 2560 ในครั้งนี้เป็นการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กองทัพภาคที่ ๓ ,สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 และภาค6 ,สถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติด,กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3,กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5, กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6, จังหวัด/อำเภอที่เกี่ยวข้อง และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดที่เกี่ยวข้อง( จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย , แม่ฮ่องสอน , ตาก , กำแพงเพชร, น่าน, พะเยา, ลำปาง, แพร่, เพชรบูรณ์ และจังหวัดพิษณุโลก)โดยได้ร่วมกันกำหนดเป็นแผนการฯที่มีความประสานสอดคล้องกันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ต่อไป
ในปีนี้ โครงการกำจัดพืชเสพติด กองทัพภาคที่ 3ได้ให้หน่วยในโครงการระดับพื้นที่ได้แก่กองพลทหารราบที่ 4 ,กองพลทหารราบที่ 7 ,กองพลทหารม้าที่ 1 และ ฝ่ายทหารพรานศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 พิจารณาจัดกำลังพล เข้าดำเนินการควบคุมพื้นที่ปลูกฝิ่นและการตัดทำลายไร่ฝิ่น ในทุกพื้นที่เป้าหมายให้ได้จำนวนมากที่สุด ซึ่งได้มีการเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบและพิสูจน์ทราบอย่างต่อเนื่อง ต่อพื้นที่เป้าหมายที่ได้มีการกำหนดและแบ่งมอบไว้ให้แล้วโดยสถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติดสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(สพส.สำนักงาน ป.ป.ส.)ได้มีการกำหนดพื้นที่เป้าหมายสำหรับการดำเนินงานไว้จำนวนทั้งสิ้น 65 พื้นที่เป้าหมายโดย กองทัพภาคที่ 3 เป็นหน่วยรับผิดชอบเข้าดำเนินการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
ในภาพรวม ปี 60 พบว่าจำนวนพื้นที่ลักลอบปลูกฝิ่นลดลงจากปี 59 อาจจะประเมินได้ว่ามีสาเหตุมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1) สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยมีฝนตก เป็นห้วงติดต่อกันระยะยาวกว่าปกติ ทำให้ฝิ่นที่ลักลอบปลูกและหวังเก็บเกี่ยวในเดือน ตุลาคม ถึง เดือนพฤศจิกายน ได้รับความเสียหาย
2) ความร่วมมือจากราษฎรในพื้นที่ อันเนื่องมาจากภาครัฐ ได้เข้มงวดกวดขันกับ ผู้นำท้องถิ่น และเพิ่มความถี่ในการตรวจตราดูแลสอดส่องเหตุการณ์ในพื้นที่ ตลอดจนให้ข้อมูลข่าวต่อทางราชการ
3) การดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ มีการบูรณาการข้อมูลข่าวสารและร่วมปฏิบัติการตัดทำลายในพื้นที่ ตลอดจนการลาดตระเวนพื้นที่รับผิดชอบของกำลังป้องกันชายแดน ทำให้ผู้ลักลอบปลูกฝิ่นเกิดความหวาดระแวง ไม่กล้าตัดสินใจที่จะลงทุนลักลอบปลูกซ้ำ
4) ใช้มาตรการบังคับใช้ทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องกับเป้าหมายที่มีฐานข่าว
5) ดำเนินการในมาตรการเฝ้าระวังและป้องปราม อย่างเข้มงวดจริงจังในพื้นที่ปลูกหนาแน่น
โดยเฉพาะพื้นที่อำเภออมก๋อย อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภอท่าสองยาง อำเภอแม่ระมาด
จังหวัดตาก
6) ภาครัฐได้เข้าดำเนินการฝึกอบรมและแนะนำการประกอบอาชีพทางการเกษตร ให้กับราษฎรในพื้นที่ ทำให้ราษฎรมีทางเลือกในการทำการเกษตร และให้ความร่วมมือเพิ่มมากขึ้น
สรุปผลการเข้าควบคุมพื้นที่ปลูกฝิ่นและการตัดทำลายไร่ฝิ่น ประจำปี 2560
พื้นที่เป้าหมายที่รับผิดชอบของ กองทัพภาคที่ 3 จำนวน พื้นที่เป้าหมาย ซึ่งในปีนี้ตรวจพบพื้นที่ลักลอบปลูกฝิ่นและตัดทำลายไร่ฝิ่นครอบคลุมพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่,เชียงราย,แม่ฮ่องสอน,ตาก, กำแพงเพชร, น่าน และจังหวัดแพร่
สามารถดำเนินการตัดทำลายได้จำนวน 2.349 แปลงเนื้อที่ 1,842.34 ไร่จากผลการสำรวจของ สพส.สำนักงาน ป.ป.ส. สำรวจพบ จำนวน 2,226 แปลงเนื้อที่ 1,769.64 ไร่
พรหมพร คงเนตร สำนักข่าวที่นี่เมืองสองแคว รายงาน
[ngg_images source=”galleries” container_ids=”2135″ display_type=”photocrati-nextgen_basic_thumbnails” override_thumbnail_settings=”0″ thumbnail_width=”120″ thumbnail_height=”90″ thumbnail_crop=”1″ images_per_page=”200″ number_of_columns=”0″ ajax_pagination=”0″ show_all_in_lightbox=”0″ use_imagebrowser_effect=”0″ show_slideshow_link=”1″ slideshow_link_text=”[Show slideshow]” order_by=”filename” order_direction=”ASC” returns=”included” maximum_entity_count=”500″]