วันที่ 8 มีนาคม 2561 เวลา 9.30 น. พลโทวิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาค 3/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ครั้งที่ 1/ 2561 ณ ห้อง 101 สโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดพิษณุโลก
ตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบและแห่งชาติได้กรุณาลงนามในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 51 /2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 ได้กำหนดให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ด้วยปัจจุบันสถานการณ์ภัยคุกคามด้านความมั่นคงส่งผลกระทบต่อประชาชนและประเทศชาติ การปรับเปลี่ยนรูปแบบอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ
ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ปัญหาความยากจน, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลอดจนภัยสังคมในรูปแบบต่างๆ อีกทั้งจากการกระทำของบุคคล หรือภัยจากธรรมชาติ อันเป็นสาธารณะภัย ซึ่งหากปล่อยไว้จะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติในอนาคต ดังนั้น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 จึงได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ตามคำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อบูรณาการงานด้านความมั่นคงของทุกส่วนราชการ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ตลอดจนเพื่อน ตลอดจนเพื่อนำนโยบายของรัฐบาลลงไปสู่การปฏิบัติ โดยกำหนดมาตรการที่เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่
กองทัพภาคที่ 3 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 จึงได้จัดการประชุมคณะกรรม”การอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3″ ขึ้นเพื่อร่วมกันเสนอแนวคิด ข้อเสนอแนะ แนวทางการแก้ไขปัญหา และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในประเด็นต่างๆ
เพื่อให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้นำไปบูรณาการใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ ต่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง โดยได้กำหนดประเด็นข้อหารือไว้ จำนวน 9 ประเด็นดังนี้
1.โครงการมวลชนจิตอาสา
2.โครงการไทยนิยม ยังยืน
3. การบริหารจัดการน้ำ
4. การดำเนินการเส้นทางถิ่นทุรกันดาร
5. การของที่ป่าไม้
6. การเปิดด่านชายแดน
7. การจัดระเบียบสังคม
8.ปัญหาแรงงานต่างด้าว
9. ปัญหายาเสพติดในชุมชนเมือง
สำหรับการประชุมในครั้งนี้ แม่ทัพภาคที่3 เล็งเห็นว่า จะก่อให้เกิดประโยชน์เป็นอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนงานให้เกิดผล เนื่องจากข้อมูลที่ได้รับ จะสามารถนำไปบูรณาการ ใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ ความอยู่ดี ดีมีสุขของพี่น้องประชาชน รวมทั้งการสร้างสภาวะแวดล้อม ที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคม นอกจากนี้ยังเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
พรหมพร คงเนตร สำนักข่าวที่นี่เมืองสองแคว รายงาน
