[youtube video=https://youtu.be/ctzWilpv0Uc autohide=”2″ color=”red” controls=”1″ iv_load_policy=”1″ theme=”dark” quality=”default” button_layout=”default” button_theme=”default” button_subscriber_count=”default”]
วันที่ 10 ก.ค.2563 นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3(บ้านโป่ง) เปิดเผยว่าตามนโยบาย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยฯ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานฯ ให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับนายทุนผู้บุกรุกป่า
วันนี้ ตนเองและนายปรยุษณ์ ไวว่อง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ นายยุทธพงศ์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติพุเตย ชุดพญาเสือ นายวสันต์ สุนจิรัตน์ กำนันตำบลช่องสะเดา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จำนวน 10 นายได้ร่วมกันตรวจสอบการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ท ชื่อ”บ้านกกกอด” ตำบลช่องสะเดา อ.เมือง จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 20 หลัง เนื้อที่ 8ไร่ 1งาน 62 ตารางวา ที่เปิดบริการให้เช่าห้องพักราคาห้องละ 1,200-3,000 บาทต่อวัน มานานหลายปี ซึ่งเป็นของนายศิริยุทธ สิริยุทธพงษ์ นายทุนใหญ่ จังหวัดนครปฐม โดยมีหุ้นส่วนทางลับเป็นลูกสาวอดีตนายพล ที่ได้ซื้อที่ดินผ่อนผันตามมติครม.30 มิ.ย. 2541 มาจากนางสาวเบญจพร โรจน์ขจรนภาลัย และนายราเชล หอชะเอม ในราคา 13 ล้านบาท ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย และนำที่ดินดังกล่าวมาทำกิจการรีสอร์ท “บ้านกกกอด” จนมีชื่อเสียงโด่งดัง ด้านสภาพธรรมชาติที่สวยงามติดอ่างเก็บน้ำเขื่อนท่าทุ่งนา จังหวัดกาญจนบุรี
โดยนายศิริยุทธฯได้ยินยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รีสอร์ท “บ้านกกกอด” จำนวน 20 หลังของตนเองออกไปให้พ้นจากเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ โดยได้ว่าจ้างคนงานเข้ามาทำการรื้อถอนตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย.2563 จนถึงวันนี้ได้รื้อถอนรีสอร์ทไปแล้วกว่า 30% คาดว่าจะรื้อถอนเสร็จไม่เกินสิ้นเดือนนี้
นายนิพนธ์ฯเปิดเผยต่อไปว่า มูลเหตุที่ทำให้นาย ศิริยุทธฯรื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด” ด้วยตนเอง ดังกล่าว สืบเนื่องมาจาก นายศิริยุทธฯ ได้ไปซื้อที่ดินผ่อนผันตามมติครม. 30 มิ.ย. 41ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ในปี พ.ศ.2558 โดยทำกิจการรีสอร์ทในที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอุทยานแห่งชาติ ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2559 นายศิริยุทธฯได้ถูกแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนสภ.ลาดหญ้า ในข้อหา ยึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต พร้อมกับอุทยานแห่งชาติเอราวัณได้ปิดประกาศคำสั่งให้รื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด” ตามกฎหมายอุทยาน ฉบับเก่าพ.ศ. 2504 มาตรา 22 ซึ่งไม่มีบทลงโทษหากฝ่าฝืน นายศิริยุทธฯก็ไม่ยอมรื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด” เปิดกิจการตลอดมา ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2560 อัยการจังหวัดกาญจนบุรี มีคำสั่งไม่ฟ้องนายศิริยุทธ ฯ ทำให้นายศิริยุทธฯ หลุดพ้นความผิดในคดีอาญา ยิ่งทำให้นายศิริยุทธฯเปิดกิจการรีสอร์ท “บ้านกกกอด” อย่างเต็มที่ เรื่อยมาจนถึงปัจจุปันต่อมาเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2563 ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ เห็นว่าถึงแม้อัยการจังหวัดกาญจนบุรี มีคำสั่งไม่ฟ้อง แต่รีสอร์ท”บ้านกกกอด” ดังกล่าว ยังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ การปิดประกาศให้รื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด” สามารถปิดประกาศให้รื้อถอนซ้ำได้อีกตามกฎหมายอุทยานฉบับใหม่ พ.ศ. 2562 ซี่งมีโทษรุนแรงกว่าหากฝ่าฝืนไม่รื้อถอน เพราะการรื้อถอนเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ บังคับย้อนหลังได้ เจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนได้ทั้งตามกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่ ตามแนวทางคำพิพากษาฎีกาที่ 3342/2525อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จึงได้ปิดประกาศคำสั่งให้รื้อถอนซ้ำอีกครั้งตามกฎหมายอุทยานแห่งชาติฉบับใหม่ ปีพ.ศ.2562 มาตรา 35 (2)ให้รื้อถอนภายในวันที่ 5 เม.ย.2563 แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิท-19 ช่วงนั้นรุนแรง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ จึงทุเลาคำสั่งผ่อนผันให้รื้อถอนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2563 หากฝ่าผืนไม่ยอมรื้อถอนตามประกาศคำสั่งดังกล่าวภายในเวลาที่กำหนดแล้ว ทางหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณจะเข้าแจ้งความดำเนินในข้อหาฝ่าฝืนประกาศคำสั่งดังกล่าวต่อไป ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 3 ปี และปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และค่าปรับรายวันอีกวันละ 1 หมื่นบาท จนกว่าจะรื้อถอนเสร็จสิ้น
เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2563 นายศิริยุทธฯ ได้ฟ้องต่อศาลปกครองสุพรรณบุรี เพื่อขอให้เพิกถอนประกาศคำสั่ง และขอทุเลาการบังคับ ไม่ให้มีการรื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด”ตามประกาศคำสั่งของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2563 ดังกล่าว และเมื่อวันที่ 15 เม.ย.2563 ศาลปกครองสุพรรณบุรี มีคำสั่งรับคำฟ้อง ของนายศิริยุทธิฯ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส.2/2563 เปิดโอกาศให้นายศิริยุทธฯต่อสู้คดีทางปกครองพิสูจน์การได้มาของที่ดินและรีสอร์ท “บ้านกกกอด” ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ซึ่งสามารถอุทธรณ์ต่อสู้คดีได้ถึงศาลปกครองสูงสุด
แต่สำหรับคำขอให้มีการทุเลาการบังคับไม่ให้มีการรื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด ” นั้น ศาลปกครองสุพรรณบุรีมีคำสั่งไม่ทุเลาการบังคับ ให้อุทยานแห่งชาติเอราวัณ รื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด” ตามประกาศคำสั่งของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณได้ตามมาตรา 35 (2) พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2562 นับแต่วันที่ 30 มิ.ย. 2563 เป็นต้นไปโดยไม่ต้องรอคดีถึงที่สุด
ก่อนครบกำหนดตามประกาศคำสั่งรื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด”ของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณในวันที่ 30 มิ.ย. 2563 นั้น นายศิริยุทธฯ จึงได้ว่าจ้างคนงานเข้ามารื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด” ของตนเองในวันที่ 27 มิ.ย. 2563จนถึงปัจจุปัน เพื่อมิต้องได้รับโทษในข้อหาฝ่าฝืนประกาศคำสั่ง ตามมาตรา35(2)พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ฉบับใหม่ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีโทษจำคุก หรือปรับ และค่าปรับรายวัน ดังกล่าว ถึงแม้ยังมีการต่อสู้คดีในศาลปกครองสุพรรณบุรีอยู่ก็ตาม
นายนิพนธ์ฯยังเปิดเผยต่อไปว่า หลังจากรื้อถอนรีสอร์ท “บ้านกกกอด” ออกไปให้พ้นจากอุทยานแห่งชาติเอราวัณหมดแล้ว ทางอุทยานแห่งชาติเอราวัณจะนำพื้นที่ดังกล่าว มาฟื้นฟูสภาพป่า และพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้วิถีธรรมชาติตำบลช่องสะเดา โดยร่วมกับตำบลช่องสะเดา เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ทรัยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ของประชาชนในท้องถิ่น และชุมชุนใกล้เคียง ต่อไป